เตือนอย่าหลงเชื่อข่าวลวง เปิดขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย
อธิบดีกรมการจัดหางาน ย้ำเตือนนายจ้าง/สถานประกอบการ อย่าหลงเชื่อข่าวลืออ้างเปิดขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ หากพบการจ้างแรงงานผิดกฎหมาย มีความผิดทั้งนายจ้างและลูกจ้าง
นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางานได้รับการสอบถามจากนายจ้าง สถานประกอบการและแรงงานต่างชาติหลายรายผ่านกล่องข้อความทางสื่อโซเชียลมีเดียของกรมการจัดหางาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694 ว่า “กระทรวงแรงงานเตรียมเปิดขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติ ที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ในเร็ว ๆ นี้” เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน กรมการจัดหางานจึงขอยืนยันว่า ข่าวลือดังกล่าวไม่เป็นความจริง ปัจจุบันกรมการจัดหางานยังไม่มีนโยบายเปิดขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติ ที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และหากตรวจสอบพบการจ้างแรงงานผิดกฎหมายจะดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งนายจ้างและลูกจ้าง โดยนายจ้าง/สถานประกอบการที่ต้องการจ้างแรงงานต่างชาติ สามารถดำเนินการตามกระบวนการนำคนต่างชาติเข้ามาทำงานตามระบบ MOU ซึ่งมี 2 วิธี คือนายจ้างดำเนินการด้วยตนเอง หรือให้บริษัทนำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศเป็นผู้ดำเนินการให้
“ตามพรก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานหรือทำงานนอกเหนือจากสิทธิที่ทำได้ มีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 – 50,000 บาท และถูกส่งกลับประเทศต้นทาง รวมถึงห้ามขอใบอนุญาตทำงานเป็นเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้รับโทษ และนายจ้าง/สถานประกอบการที่รับคนต่างด้าวที่ไม่มีใบอนุญาตทำงานเข้าทำงาน หรือให้คนต่างด้าวทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิ มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000 – 100,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 – 200,000 บาท ต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
ทั้งนี้ สามารถสอบถามข้อมูลและวิธีการจ้างแรงงานต่างชาติอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 – 10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
ข้อมูลจากเว็บไชต์: https://www.doe.go.th/prd/alien/news/param/site/152/cat/7/sub/0/pull/detail/view/detail/object_id/80914
เลขา “อารี” มอบโอวาท 477 แรงงานไทย ทำงานต่างประเทศ
เตรียมส่งทำงานต่างประเทศ มุ่งสู่เป้าหมายส่งแรงงาน 1 แสนอัตรา เผยคืบหน้าล่าสุด ส่งแล้ว 5.3 หมื่นคน
วันที่ 3 พฤษภาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายนายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจพร้อมให้โอวาทแก่แรงงานไทย 477 คน ที่เข้ารับการอบรมก่อนเดินทางไปทำงานไต้หวัน ญี่ปุ่น และซาอุดิอาระเบีย โดยมีนายสมชาย มรกตศรีวรรณ
อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวรายงาน นายสันติ นันตสุวรรณ ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน นายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารกรมการจัดหางาน ผู้แทนบริษัทจัดหางาน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมพิธี ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
นายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงานตั้งเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ 100,000 อัตรา ภายในปี 2567 เพื่อส่งเสริมให้พี่น้องแรงงานไทย มีรายได้มั่นคง และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ซึ่งก่อนเดินทางไปทำงานต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางานจะต้องอบรมคนหางาน เพื่อเตรียมความพร้อมให้แรงงานไทยได้มีความรู้เข้าใจขั้นตอนการไปทำงานในต่างประเทศและปฏิบัติได้ถูกต้อง ทราบเงื่อนไขตามสัญญาจ้างงาน สภาพการจ้าง และขนบธรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี มีความพร้อมในการทำงานและเกิดความมั่นใจ รวมทั้งรู้ช่องทางขอความช่วยเหลือ ทราบสิทธิประโยชน์ และการคุ้มครองคนหางานตามกฎหมาย โดยในวันนี้มีแรงงานไทยเข้ารับการอบรม จำนวน 477 คน เพื่อเตรียมเดินทางไปทำงานในไต้หวัน 433 คน ในตำแหน่ง คนงานฝ่ายผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ญี่ปุ่น 12 คน ในตำแหน่งช่างเชื่อม และคนงานฝ่ายผลิต ในโรงงานอุตสาหกรรม และซาอุดิอาระเบีย 2 คน ในตำแหน่งช่างเขียนแบบ และช่างเหล็ก ซึ่งทั้งหมดเดินทางไปทำงานโดยมีบริษัทจัดหางาน เป็นผู้จัดส่ง
“ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่ผ่านขั้นตอนการคัดเลือก ฝึกฝนทักษะทั้งด้านภาษา ทักษะการทำงาน และขอชื่นชมในความพยายามและความอดทน ทุกคนถือเป็นกำลังสำคัญที่สร้างชื่อเสียงด้วยทักษะฝีมือการทำงาน และนำเงินตรากลับเข้าประเทศไทย ดังนั้น ขอฝาก น้อง ๆ ตั้งใจทำงาน รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด และการพนัน วางแผนเก็บออมให้ดี เพื่อมีเงินก้อนมาต่อยอด สร้างอนาคตให้ตนเองและครอบครัวต่อไป” นายอารีฯ กล่าว
ด้านนายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางานขานรับนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มุ่งมั่นส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ให้ได้ 100,000 อัตรา ภายในปี 2567 โดยรักษาการจ้างงานในตลาดแรงงานเดิม ควบคู่กับการขยายตลาดแรงงานใหม่ในต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริมให้แรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ความคืบหน้าล่าสุด ได้ส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศแล้ว 53,864 คน ใน 139 ประเทศ ซึ่ง 5 อันดับแรกที่มีการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานมากที่สุด ได้แก่ ไต้หวัน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหรัฐอเมริกา
สำหรับผู้ที่สนใจเดินทางไปทำงานต่างประเทศ สามารถติดตามข่าวสารการประกาศรับสมัครได้ที่เว็บไซต์ doe.go.th/overseas และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
ข้อมูลจากเว็บไชต์: https://www.doe.go.th/prd/alien/news/param/site/152/cat/7/sub/0/pull/detail/view/detail/object_id/81030
กรมการจัดหางาน มอบ “ของขวัญวันแรงงาน”
กรมการจัดหางาน มอบ “ของขวัญวันแรงงาน” ขยายเวลากู้เงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ดอกเบี้ย 0% ถึงวันที่ 31 พ.ค. 67
กรมการจัดหางาน มอบความสุขต่อเนื่องแจกของขวัญวันแรงงาน ขยายเวลากู้เงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน ดอกเบี้ย 0% นาน 24 เดือน เพิ่มโอกาสสร้างอาชีพให้แรงงานอิสระที่เป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนกับกรมการจัดหางาน ถึงวันที่ 31 พ.ค. 67
นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า ในโอกาสวันแรงงานแห่งชาติ กรมการจัดหางานได้มอบของขวัญวันแรงงานเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่พี่น้องผู้ใช้แรงงานได้มีโอกาสในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ ด้วยการขยายระยะเวลาการยื่นคำขอกู้ยืมเงินกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้าน เพิ่มอีก 1 เดือน จากวันที่ 30 เมษายน 2567 เป็นวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 โดยลดอัตราดอกเบี้ยกองทุนจากร้อยละ 3 ต่อปี เป็น 0% นาน 24 เดือน มีเงื่อนไขคือผู้รับงานไปทำที่บ้านที่กู้เงินไปแล้ว ต้องชำระหนี้ครบถ้วนตามระยะเวลาที่กำหนดในงวดที่ 1- 12
นายสมชายฯ กล่าวว่า ผู้มีสิทธิกู้กองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านต้องเป็นผู้รับงานไปทำที่บ้านที่จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน มีผลการดำเนินการและมีรายได้จากการรับงานไปทำที่บ้าน หรือมีหลักฐานการรับงานไปทำที่บ้านจากผู้จ้างงาน ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย และไม่เป็นผู้ถูกดำเนินคดีหรืออยู่ในระหว่างดำเนินคดีเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกองทุน โดยวงเงินกู้สำหรับบุคคล ต้องมีทรัพย์สินหรือเงินทุนไม่น้อยกว่า 5,000 บาท วงเงินกู้ไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 2 ปี ส่วนกรณีกลุ่มบุคคล ต้องมีผู้นำกลุ่มและสมาชิกกลุ่มกู้ร่วมกันไม่น้อยกว่า 5 คน มีทรัพย์สินหรือเงินทุนในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มรวมกันไม่น้อยกว่า 10,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท ระยะเวลาชำระคืนภายใน 5 ปี (เฉพาะกู้วงเงิน 300,000 บาท ต้องมีสมาชิก 6 คนขึ้นไป)
ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและยื่นกู้ได้ที่สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสำนักงานจัดหางานจังหวัดในท้องที่ ที่ผู้รับงานไปทำที่บ้านได้จดทะเบียนไว้กับกรมการจัดหางาน หรือที่กองส่งเสริมการมีงานทำ กรมการจัดหางาน โทร. 02 245 1317 หรือที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน และสายด่วนกรมการจัดหางาน โทร. 1694
ข้อมูลจากเว็บไชต์: https://www.doe.go.th/prd/main/news/param/site/1/cat/7/sub/0/pull/detail/view/detail/object_id/80993
คนทำงานบ้านเฮ!! “พิพัฒน์ ดันกฎกระทรวงแรงงานสำเร็จ ได้สิทธิลาคลอด 98 วัน มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้ตระหนักถึงความสำคัญของแรงงานนอกระบบ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เพราะเป็นแรงงานกลุ่มใหญ่ที่สุดมีจำนวนมากกว่า 20 ล้านคน ให้สามารถเข้าถึงสิทธิพื้นฐานในการประกอบอาชีพมีหลักประกันสังคม มีความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างซึ่งทำงานบ้าน ซึ่งการคุ้มครองตามกฎหมายยังไม่ครอบคลุมและยังไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รัฐบาลโดยกระทรวงแรงงาน จึงเร่งผลักดันกฎหมายให้ขยายความคุ้มครองให้ลูกจ้างซึ่งทำงานบ้านได้รับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งขณะนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงาน ได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 15 (พ.ศ.2567) ตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ซึ่งขณะนี้ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 30 เมษายน 2567 เพิ่มการคุ้มครองให้กับลูกจ้างซึ่งทำงานบ้าน 11 เรื่อง ได้แก่ 1) มีเวลาทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน 2) มีเวลาพักไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง 3) มีสิทธิลากิจธุระอันจำเป็น 4) ห้ามลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทำงานเวลา 22.00 – 06.00 น. ทำล่วงเวลา หรือวันหยุด 5) ลูกจ้างหญิงลาคลอดได้ 98 วัน 6) ห้ามเลิกจ้างเพราะเหตุมีครรภ์ 7) ให้นายจ้างแจ้งการใช้แรงงานเด็ก 8) ลูกจ้างเด็กมีสิทธิฝึกอบรมโดยได้รับค่าจ้าง 30 วัน 9) ลูกจ้างหญิงได้รับค่าจ้างลาคลอด 45 วัน 10) ห้ามนายจ้างหักค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาในวันหยุด 11) ลูกจ้างได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งขณะนี้ มีผลบังคับใช้แล้ว
“เรามุ่งผลักดันกฎหมายให้ออกมาตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาและคุ้มครองแรงงานนอกระบบให้ตรงจุดที่สุด เพื่อเป็นหลักประกันทางสังคมในการพัฒนาชีวิตคุณภาพแรงงานนอกระบบในมิติต่างๆ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องแรงงานให้ดีขึ้นต่อไป” นายพิพัฒน์ กล่าว
เพจ · หน่วยงานราชการ